ความแตกต่างระหว่าง QR Code และ Barcode ในสายการผลิต

ความแตกต่างระหว่าง QR Code และ Barcode ในสายการผลิตมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะส่งผลต่อความเร็ว ความแม่นยำ และรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลของโรงงานโดยตรง โดยสรุปได้ดังนี้:


📌 เปรียบเทียบ QR Code vs Barcode ในสายการผลิต

หัวข้อBarcode (1D)QR Code (2D)
รูปร่างแถบเส้นแนวนอน (แท่ง)รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสคล้ายตาราง
มิติข้อมูล1 มิติ (อ่านได้แนวเดียว)2 มิติ (อ่านได้หลายทิศทาง)
ความจุข้อมูลประมาณ 20-25 ตัวอักษรสูงสุด ~7,000 ตัวอักษร
ชนิดข้อมูลตัวเลข/ตัวอักษรตัวเลข, ตัวอักษร, URL, รูปภาพ, ฯลฯ
พื้นที่ในการพิมพ์ใช้พื้นที่แนวนอนมากใช้พื้นที่น้อยแต่เก็บข้อมูลได้มาก
ความเร็วในการอ่านเร็ว แต่ขึ้นอยู่กับตำแหน่งสแกนเร็วและอ่านได้หลายมุมมอง
ความสามารถในการทนต่อความเสียหายเสียหายเล็กน้อย = อ่านไม่ได้อ่านได้แม้เสียหายบางส่วน (ทนได้ ~30%)
อุปกรณ์อ่านBarcode Scanner ทั่วไปต้องใช้เครื่องอ่าน QR หรือกล้องที่รองรับ
ต้นทุนต่ำกว่าสูงกว่าเล็กน้อย
การใช้งานในสายการผลิต– ใช้ระบุสินค้า/ล็อตอย่างง่าย
  • ใช้กับบรรจุภัณฑ์หรือชิ้นส่วนทั่วไป | – ใช้ในงานที่ต้องการข้อมูลมาก เช่น ประวัติเครื่องจักร
  • ใช้ในการเชื่อมโยงระบบ ERP, IoT หรือการติดตามย้อนกลับ (Traceability) |

เลือกใช้แบบไหนดีในสายการผลิต?

ความต้องการควรเลือกใช้
แค่ระบุรหัสสินค้า / ชิ้นงานBarcode
ต้องการข้อมูลรายละเอียดมาก เช่น ล็อต, วันหมดอายุ, URLQR Code
ใช้พื้นที่จำกัด เช่น พิมพ์ลงชิ้นส่วนเล็กๆQR Code
ต้องการสแกนเร็ว ๆ แบบต้นทุนต่ำBarcode
ใช้ในระบบที่ต้องเชื่อมโยงกับมือถือ / IoT / CloudQR Code

🔧 ตัวอย่างในโรงงาน

  • Barcode
    👉 ใช้กับระบบสายพานในการนับจำนวนสินค้า
    👉 ติดที่กล่องหรือฉลากเพื่ออ่านข้อมูลแบบรวดเร็ว
  • QR Code
    👉 ใช้ในระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability)
    👉 เชื่อมกับข้อมูล ERP เช่น สถานะการผลิต, พนักงานที่ตรวจสอบ, เวลาที่ผลิต

🔍 สรุปสั้น ๆ

  • Barcode = ง่าย เร็ว ถูก ใช้ทั่วไป
  • QR Code = ข้อมูลเยอะ ยืดหยุ่น อ่านหลายมุม เชื่อมต่อระบบได้

ทั้งสองแบบ ไม่ได้ทดแทนกัน แต่ ควรใช้ร่วมกันตามจุดประสงค์ของแต่ละขั้นตอน ในสายการผลิตเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด.